นอกจากเรื่องแมงกระพรุนแล้วทะเลยังมีอะไรน่ากลัวอีกเยอะมากครับ วันนี้จะมาลุยเรื่อง คลื่นดูด หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Rip Current เปิดมาชื่อมันก็ Rip แล้วนะ ไม่น่ารอดแน่นอนถ้าเจอกับคลื่นดูดเข้าให้ เพราะเจ้าคลื่นนี้นี่แหละเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวจมน้ำเสียชีวิตเยอะที่สุดแล้ว
ไปเที่ยววันไหนโป๊ะเช๊ะหวยออกเจอคลื่นดูดวันนั้นไม่ต้องเล่นแล้วครับน้ำ กลับขึ้นฝั่งได้เลยดีที่สุด
คลื่นดูด (Rip Current) คืออะไร?
คลื่นดูดไม่ใช่คลื่นที่ซัดเข้าฝั่งแล้วดึงเราออกไป แต่เป็น กระแสน้ำที่ไหลแรงออกจากฝั่ง ลงสู่ทะเลลึก โดยมีลักษณะเป็นแนวกระแสน้ำแคบๆ และไหลสวนทางกับคลื่นปกติที่ซัดเข้าหาชายหาด ด้วยความรุนแรงของมัน ทำให้แม้แต่คนที่ว่ายน้ำเก่งก็อาจหมดแรงและจมน้ำได้หากพยายามว่ายทวนกระแส
วิธีสังเกตคลื่นดูด
สังเกตได้จาก 4 จุดหลักๆ ดังนี้ครับ:
- สีของน้ำทะเล: บริเวณที่มีคลื่นดูด น้ำทะเลจะมีสีขุ่นกว่าปกติ เพราะกระแสน้ำพัดพาเอาตะกอนทรายจากใต้น้ำฟุ้งขึ้นมา
- แนวคลื่น: คลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งจะขาดหายไปเป็นช่วงๆ หรือมีลักษณะเป็นร่องคลื่น
- สิ่งลอยน้ำ: สังเกตฟองคลื่น เศษขยะ หรือสาหร่ายที่ลอยอยู่ หากเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ถูกพัดออกไปจากฝั่งเป็นแนวแคบๆ ให้ระวังไว้เลย
- ป้ายเตือน: หากเห็น ธงแดง ปักอยู่บริเวณชายหาด นั่นคือสัญญาณเตือนว่าบริเวณนั้นอันตราย ห้ามลงเล่นน้ำเด็ดขาด
หากตกอยู่ในสถานการณ์คลื่นดูด ควรทำอย่างไร?
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตั้งสติ และ อย่าพยายามว่ายทวนกระแสน้ำ โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้คุณหมดแรงและจมน้ำในที่สุด ให้ใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อเอาตัวรอด:
- ว่ายน้ำขนานกับชายฝั่ง: ว่ายน้ำออกด้านข้างตามแนวหาดไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ากระแสน้ำเบาลง จากนั้นค่อยๆ ว่ายกลับเข้าหาฝั่ง
- ปล่อยตัวลอยตามน้ำ: หากหมดแรงแล้ว ให้ปล่อยตัวให้ลอยตามน้ำไป กระแสน้ำดูดจะไม่ได้พัดออกไปตลอด แต่จะเบาลงเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง
- ชูมือขอความช่วยเหลือ: เมื่อปลอดภัยหรือหาจังหวะได้แล้ว ให้ชูมือขึ้นโบกไปมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่หรือคนบนฝั่ง
คลื่นดูดมักจะมาเวลาไหน
ต้องบอกว่าเจ้าคลื่นดูดนี่มันอินดี้ครับ ไม่มีเวลาเกิดขึ้นแบบแน่นอนเหมือนน้ำขึ้นน้ำลง แต่สามารถเกิดได้ทุกเวลา และ ทุกฤดูกาลขึ้นอยู่กับปัจจัยทางธรรมชาติหลายอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับลักษณะทางกายภาพของชายหาดและสภาพอากาศ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดคลื่นดูด
- สภาพชายหาด: คลื่นดูดมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีสิ่งกีดขวางใต้น้ำ เช่น สันดอนทรายใต้น้ำ (Sandbar) หรือ แนวโขดหิน ที่วางตัวขนานกับชายฝั่ง เมื่อคลื่นซัดเข้าหาฝั่งแล้วเจอกับสิ่งกีดขวางเหล่านี้ น้ำจะไหลย้อนกลับออกไปในทะเลในบริเวณที่เป็นร่องหรือช่องว่าง ทำให้เกิดเป็นกระแสน้ำไหลแรง
- ช่วงมรสุมหรือช่วงที่มีคลื่นลมแรง: เป็นช่วงที่ความเสี่ยงในการเกิดคลื่นดูดสูงขึ้นมาก เพราะคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งมีความรุนแรงและปริมาณน้ำที่ต้องไหลย้อนกลับมีมากขึ้น ทำให้กระแสน้ำดูดมีความรุนแรงตามไปด้วย
- น้ำทะเลขึ้น-ลง (กระแสน้ำเกิด): ในช่วงที่น้ำทะเลมีการเปลี่ยนแปลงระดับมาก เช่น ช่วงข้างขึ้นหรือข้างแรม 10-13 ค่ำถึง 3 ค่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำขึ้นน้ำลงมากที่สุด (Spring Tide) การไหลของกระแสน้ำจะรุนแรงขึ้น ทำให้มีโอกาสเกิดคลื่นดูดได้
ข้อสรุป
คลื่นดูดเป็นสิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดสำหรับการไปเที่ยวทะเลครับ เจ้าคลื่นดูดไม่มีช่วงเวลาที่ตายตัวว่าคลื่นดูดจะมาเวลาไหน
แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวก่อนลงเล่นน้ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาเช้า กลางวัน หรือเย็น หากพบเห็นสัญญาณเตือนที่กล่าวมาข้างต้น เช่น ธงแดง น้ำขุ่นเป็นแนว หรือคลื่นที่ขาดหายเป็นช่วงๆ ให้หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในบริเวณนั้นโดยเด็ดขาด เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และที่ไหน
Comments are closed